วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2562

Maldives ….The Heart of the Indian Ocean


                       "ทะเลมัลดิฟส์เป็นอีกหนึ่งในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติบนดวงดาวสีฟ้าที่น่าติดตรึง" 


                 มัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงติดลมบนในหมู่คู่รักฮันนีมูน แต่ในมุมมองของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแล้ว มัลดีฟส์ยังถูกครองใจด้วยเช่นกันเพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ประกอบกัน เช่น สถานที่มีความโดดเด่นโดนตา ทรัพยากรทางธรรมชาติยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก การสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น เรื่องการอำนวยความสะดวกสารพัดสารพันและการบริการที่ได้มาตฐานที่ดีที่หนึ่งระดับโลกและอย่างสุดท้าย คือ เรื่องของผู้คนที่มีไมตรีจิตต่อนักท่องเที่ยว  


               ประเทศมัลดีฟส์มีชื่อทางการว่า  "สาธารณรัฐมัลดีฟส์" เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะประการังจำนวนมากในมหาสมุทรอินเดียและตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียและศรีลังกา ประกอบด้วยหมู่เกาะประการังน้อยใหญ่ วางตัวต่อเนื่องกันในแนวเหนือจรดใต้ ก่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศที่มีความสวยงามและเอื้อต่ออุตสากรรมการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเรียกประเทศมัลดีฟส์ แต่ถูกเรียกว่าหมู่เกาะมัลดีฟส์มากกว่า 



              หมู่เกามัลดิฟส์นั้นเกิดขึ้นจาการทับถมของหินประการังเป็นจำนวนมากในเขตน้ำตื้นกลางทะเล ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก มีลักษณะคล้ายวงแหวนแบบลากูน โดยมีส่วนที่โผล่พ้นจากระดับน้ำทะเล มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 2-3 เมตรด้วยกัน หรือเรียกกันว่า "อะทอลล์" (atoll) มีลักษณะกระจายเป็นกลุ่มเกาะมีมากถึง 26 กลุ่ม รวม1,190 เกาะ แต่ว่ามีเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริงเพียงประมาณ 250 เกาะเท่านั้นและในจำนวนนี้ เป็นเกาะที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นโรงแรมและรีสอร์ทสำหรับนักท่องเที่ยวประมาณ 100 กว่าเกาะด้วยกัน    




             ด้วยความที่มัลดีฟส์นั้นมีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทัศนียภาพที่มีความสวยงามจนสะกดทุกสายตาของนักท่องเที่ยวได้อย่างอยู่หมัดแล้ว ทรัพยากรใต้ทะเลก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มากเช่นกัน  โลกใต้บาดาลชองที่นี่คลาคล่ำไปด้วยประการัง อุดมไปด้วยฝูงปลาใหญ่น้อยและยังมีสัตว์น้ำต่างๆอีกนับพันๆชนิด แสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศน์ทางทะเลของประเทศนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก  นอกจากนี้ที่หมู่เกาะมัลดิฟส์ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมดำน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย ซึ่งก็ทำให้ที่นี่มีบริการด้านการอบรมพื้นฐานในการดำน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการดำน้ำที่ได้มาตฐานสูง เรื่องต่างๆเหล่านี้ จึงทำให้หมู่เกาะแห่งนี้ กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักดำน้ำจากทั่วโลก ว่ากันว่า …มัลดีฟส์ คือสวรรค์ของนักดำน้ำเลยทีเดียว



              ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเรื่อยไปจนถึงต้นเดือนเมษายน เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการไปท่องเที่ยวมัลดิฟส์เพราะฟ้าปลอดโปร่งและไม่ค่อยมีฝนตกมากนัก ทริปนี้ผู้เขียนมีโอกาสได้พักในรีสอร์ทบนเกาะกลางทะเลถึงสองแห่ง  แห่งแรกอยู่ไกลออกไปทางเหนือของเมืองหลวงมาเล ( Male)  จุดนี้เรียกว่า นอร์ท อารี อะทอลล์ ( North Ari Atoll) ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่มีธรรมชาติใต้ทะเลงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เราเลือกทางสัญจรไปยังรีสอร์ทโดยเรือบินน้ำเพราะสะดวก รวดเร็วและประหยัดเวลากว่าเดินทางโดยเรือเร็ว  


               ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินน้ำ ยามมองลงมาจากฟากฟ้าจะต้องรู้สึกประทับใจและตะลึงงันกับภาพเกาะวงกลมวงรีใหญ่น้อยสีเขียวมรกรตที่มีน้ำทะเลสีฟ้าครามและมีสันทรายสีขาวกระจ่างโอบรอบอยู่ ทรายที่นี่ขาวจริงๆ ยิ่งเวลาต้องแสงแดดก็จะยิ่งขาวจั๊ว เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย เครื่องบินน้ำจะค่อยๆลดระดับลง สิ่งที่ควรทำคือให้แนบใบหน้าติดกระจกและมองออกไปนอกหน้าต่างจะเห็นภาพเกาะสีเขียวขจีตัดกับหาดทรายสีขาวกระจ่าง ภาพน้ำทะเลในลากูนที่เป็นสีหยก น้ำจะใสแจ๋ว ถ้าเป็นช่วงเวลาที่น้ำทะเลลดงพอดี ก็จะเห็นสันทรายน้อยใหญ่คดเคี้ยวแล่นลิ่วราวกับจิตกรมาจัดวางเลย


               ส่วนน้ำทะเลที่อยู่ในลากูนระหว่างสันทรายจะแบ่งออกเป็นสีฟ้าหลายเฉดสีเพราะความลึกตื้นที่ต่างกันออกไป น้ำทะเลจะมีสีเขียวใสและสีฟ้าอ่อนแก่ไล่กันไปเป็นชั้นๆ ช่างสวยมหัศจรรย์ใจเลยจริงๆ  ลานบินคือทะเล เรือบินน้ำจะร่อนลงจอดที่กลางทะเลนั่นล่ะ ปกติแล้วจะจอดไม่ห่างจากเกาะที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรือรีสอร์ทมากนัก จากนั้นจะมีเรือโดยสารแบบพื้นเมืองหรือเรียกว่า"เรือโดนี่" แล่นฉิวมารับขึ้นไปยังเกาะ เรือโดนี่ มีเสน่ห์ชวนมอง ความโดดเด่นอยู่ตรงหัวเรือซึ่งปลาย จะโค้งงอนเหมือนคันธนูดู เรือโดนี่จึงดูเป็นเอกลักษณ์และสวยแปลกตามาก


          ปัจจุบันมัลดีฟส์มีโรงแรมและรีสอร์ทที่ให้บริการกว่าร้อยแห่งด้วยกัน ประเทศนี้มีรายได้หลักกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและต้องมีการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่จะต้องมีความพร้อมในด้านการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงเรือรับส่งนักท่องเที่ยว ระบบไฟฟ้า แหล่งน้ำจืด ร้านอาหาร ระบบอินเตอร์เน็ตไวไฟและยังรวมถึงการจัดการเรื่องห้องพักเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่่องเที่ยว แบบเอาอกเอาใจกันสุดสุดไปเลย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างสูงมากในหมู่เกาะมัลดีฟส์

     




     
       สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับการท่องเที่ยวในหมู่เกาะมัลดีฟส์ คือ แต่ละโรงแรมหรือรีสอร์ท จะมีการบริการเรือเร็วหรือสปีดโบ๊ต มีเรือบินน้ำหรือซีแพลนเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวตั้งแต่สนามบินไปจนถึงที่พักเลย  ส่วนใหญ่แล้วหนึ่งเกาะก็คือหนึ่งโรงแรมหรือหนึ่งรีสอร์ทนั่นเอง มีโรงแรมและรีสอร์ทกำลังเกิดขึ้นใหม่ๆ  แต่ละแห่งก็พยายามตกแต่งห้องพักและดีไซน์สถานให้ดูโดดเด่นโดนตา  แต่ที่สำคัญคือ เน้นให้นักท่องเที่ยวได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติได้มากถึงมากที่สุด



       เนื่องจากหมู่เกาะมัลดีฟส์นั้นมีทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นต้นทุนหลัก ประกอบกับโรงแรมที่พักหรือรีสอร์ทของที่นี่นั้นขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบและตกแต่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ดูคล้ายๆกันไปหมด โดยจะเน้นไปที่ความพร้อมในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน การออกแบบเน้นให้มีรายละเอียดในแต่ละจุด ซึ่งส่วนใหญ่ดูเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรา ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ล้วนดูสะอาดตา เข้ากับบรรยากาศและทัศนียภาพที่มีความงดงามของท้องทะเลท่ามกลางมหาสมุทรอินเดีย   


          จุดขายของแต่ละโรงแรม คือห้องพัก โดยเฉพาะที่เป็นลักษณะของวอเตอร์วิลล่า ถูกออกแบบให้ดูราวห้องพักบนสรวงสวรรค์ นักท่องเที่ยวจะมีความเป็นส่วนตัวสูงและที่สำคัญคือได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ โดยเห็นทัศนียภาพที่มีความสวยงามของท้องทะเลได้จากทุกพื้นที่เลย ไม่ว่าจะเป็นจากบริเวณระเบียงห้องส่วนตัวที่ดูกว้างขวาง มีการออกแบบให้มีบันไดสามารถที่จะเดินลงไปหย่อนตัวดำน้ำแบบสนอร์เกิลและสามารถสัมผัสได้กับแนวประการังและฝูงปลาจากด้านหน้าหรือหลังบ้านได้เลยทีเดียว



         ถ้าเหนื่อยล้าก็แค่ปีนบันไดขึ้นมาพัก นอนเล่น นอนคร้าน นอนเคล้งหรือนอนอาบแดดที่ระเบียงส่วนตัวได้เลย หรือส่วนของห้องอาบน้ำจืดแทบจะทุกรีสอร์ท จะเน้นให้มีอ่างจากุชชี่ ลูกค้าสามารถนอนแข่น้ำพร้อมพลิดเพลินกับภาพวิวสวยจากท้องทะเลไปด้วย  ขอกระซิบดังๆอีกจิ้ดหนึงว่า..ควรนอนแช่น้ำในอ่างจากุชชี่ ตอนช่วงตะวันใกล้จะอัสดง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ท้องทะเลจะสวยที่สุด ยามที่แสงอาทิตย์สีส้มสาดส่องลอดผ่านเมฆก้อนใหญ่ลงมาเป็นลำแสงสู่เกลียวคลื่นระรอกน้อยระรอกใหญ่ที่กระเพื่อมเป็นจังหวะช่างเป็นเป็นภาพที่งดงามตรึงใจและฟินจริงๆ




          ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ภายในห้องนอนที่มีลักษณะเปิดโล่งเหมือนกับว่ากำลังนอนอยู่ท่ามกลางน้ำทะเลสีคราม สาธารณูปโภคจำเป็นแทบทุกๆอย่างจะถูกตระเตรียมไว้อย่างครบครันและสะดวกสบายจริงๆ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เองจึงไม่แปลกใจเลย ถ้าหากนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการจะประทับใจทุกระดับ ไม่ว่าจะมาแบบคู่รักหรือยกโขยงกันมาแบบแฟมิลี่  



 
       อีกสิ่งหนึ่งที่คนรักธรรมชาติจะไม่พูดถึงคงไม่ได้เลย คือ ต้นหมากรากไม้ ถ้าไม่ใช่คอต้นไม้แล้วอาจเห็นแค่ทิวมะพร้าวริมหาด  แต่ถ้าคนเลิฟต้นไม้ดอกไม้ มักชอบเดินซอกแซกเดินดูต้นไม้เพราะจะได้เห็นพรรณไม้นานาพันธ์ุที่เหมาะจะปลูกบนเกาะ มีบางชนิด แค่เห็นดอกหรือใบ ตาจะเป็นประกายและอาจอุทานออกมาเสียงหลงเพราะสวยงามแบบเกินหน้าเกินตา แม้บางเกาะจะเดินได้รอบเกาะเพียงใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่เหล่าต้นไม้ดอกไม้ หรือไม่่ก็สัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่ สามารถยื้อยุดฉุดเวลาให้คุณอยากเข้าไปทำตัวนัวเนียหรือเอ้อระเหยอยู่ได้นานทีเดียว รู้สึกแปลกใจมากที่ได้เห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ๆบางชนิด เติบโตคลี่คลุมกิ่งก้านสาขาแผ่กว้างแบบไม่มีลิมิตและมีขนาดมหึมา อาทิเช่น ต้นไทรและต้นโพธื์ คือเห็นแล้วอยากจะร้องกรี้ดให้ลั่นเกาะ  แถมต้นไม้บนเกาะดูมีสุขภาพดีทุกต้น สังเกตุได้จากกิ่ง ใบ ก้านและลำต้นมีสีเขียวสดใส ใบเป็นมันปลาบดูสะอาดสะอ้านจนอยากจะเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ คงเพราะระบบนิเวศน์ที่ดี สภาพแวดล้อมที่เอื้อ ความที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำจึงไร้ปัญหาเรื่องฝุ่น  แถมประเทศนี้ยังมีฝนตกบ่อยๆ ต้นไม้จึงดูเริงร่าดี๊ด๊าและมีใบสีเขียวชะอุ่มอยู่ตลอดทั้งปี  



     
           ผู้เขียนหลงใหลไม้ดอกประดับสวนอยู่หลายชนิด บางชนิดดอกสวยจัดจนได้รับสมญานามว่าเป็นราชนิริมหาด อาทิเช่น " จิกทะเล" ไม้ยืนต้นที่นิยมปลูกเพราะมีฟอร์ม ใบ ดอกและผลสวยงามแปลกตา  กลีบดอกจิกทะเลนั้น จะมีสีขาว ส่วนที่เห็นเด่นกว่าคือ เกสร ที่มีสีชมพู พอดอกบานปุ๊บ เกสรจะฟูฟ่องเลย ดอกจิกทะเลจะดูเหมือนดอกชมพู่มะเหมี่ยวแต่ใหญ่กว่า ดอกจะแย้มบานในตอนหัวค่ำ พอตกดึก จะส่งกลิ่นหอมแรงขึ้นเรื่อยๆ ดอกจิกทะเลของที่นี่ ดอกจะโตผิดแผกแตกต่างกับที่เคยเห็นปลูกในบ้านเรา ผู้เขียนลองเก็บดอกที่ร่วงใหม่ๆมาวางไว้บนผ่ามือแล้วถ่ายรูป  แค่ดอกเดียวก็ปิดผ่ามือมิดเลย



           ยังมีไม้ดอกประดับเกาะ อีกชนิด ที่มากเสน่ห์ไม่แพ้ดอกจิกทะเลและนิยมปลูกแทบทุกเกาะนั่นคือ ""หมันทะเล" ไม้ชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ทนแล้ง ชอบขึ้นบนพื้นที่ที่เป็นหาดทราย เติบโตได้ดีตามบริเวณชายฝั่งทะเลและบนเกาะ หมันทะเลมีฟอร์มลำต้นและใบที่สวยงาม แถมยังออกดอกเก่ง (ออกตลอดปีทั้งชาติ) ดอกออกเป็นช่อ มีกลีบดอกเชื่อมติดกันแล้วบานออกคล้ายแตร ดอกมีสีส้มแจ๋น เวลาดอกโรยจะร่วงพราวอยู่เกลื่อนหาดเลย  เป็นดอกไม้ที่สร้างสีสันและเสน่ห์ให้กับทุกเกาะ  นี่ยังไม่รวมไม้ใบเขียวสดและไม้ใบด่างอีกมากมาย ซึ่งนิยมปลูกทั้งใบมีสีเขียวล้วนๆและไม้ใบด่าง ไม้ใบสวยที่นิยมปลูกกันเกลื่อน ก็เช่น รักทะเล เล็บครุฑสายพันธ์ต่างๆ เป็นต้น ถ้าเห็นแล้วจะอยากลองหาไปปลูกไว้ให้แน่นทั้งสวนศรีทุกต้นเลย




  

       เสน่ห์อีกอย่างที่สัมผัสได้ด้วยตาคือ เหล่าสัตว์ปีก แปลกใจมากๆว่าทำไมบนเกาะ จึงมีนกนานาชนิดอาศัยอยู่มากมาย ทั้งที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติและถูกเลี้ยงไว้  ส่วนใหญ่แล้วพวกมันก็อยู่ร่วมกันกับมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน เชื่อง และไม่ชอบหลบซ่อนตัวลึกลับด้วย เช่น นกกระตั๊ว นกกระสา กา นกกวัก หรือนกแก้ว ฯลฯ มักจะโฮละเลฮู้ฮูบินออกมาอยู่ใกล้ๆกับคน ชอบอวดเนื้ออวดตัวชอบอ้อนขออาหารกิน และยังดูเป็นมิตรมาก  ผู้เขียนแกล้งเดินเข้าไปเฉียดหรืออยู่ในระยะประชิด แต่มันก็ไม่หลบ ไม่หนี ไม่กลัว แถมยังจ้องหน้าและสอดส่ายสานตาค้นหา บ้างก้มๆเงยๆทำท่าซุกซนเหมือนเด็ก น่ารักมาก  คงเพราะพวกมันไม่เคยโดนทำร้ายและจิตใจของพวกมันไม่ค่อยถูกปนเปื้อนสารพิษนั่นเอง

   
      หนึ่งในรีสอร์ทที่อยู่ทางด้านเหนือ (อารี อะทออล์ ) ซึ่งผู้เขียนไปพักแห่งแรก เป็นแหล่งของนักดำน้ำลึก  แม้จะว่าเราจะไม่ใช่เซียนดำน้ำลึก หรือเป็นนักกีฬากล้ามโต การดำน้ำตื้นๆอย่างสนอกเกอริ่งตามแนวชายฝั่งก็แสนตื่นตาตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุดแล้ว อีกทั้งเดี๋ยวนี้ก็มีอุปกรณ์อย่างกล้องดิจิตอลที่ถ่ายใต้น้ำก็ทำให้คนเข้าถึงการถ่ายภาพใต้น้ำได้ง่ายขึ้นด้วย คนชอบถ่ายภาพควรจัดเตรียมอุปกรณ์การถ่ายภาพใต้นำ้ไปด้วย เพราะจะยิ่งสนุกมากขึ้นไปอีก ซึ่งกล้องดังกล่าวหาไม่ได้ยากเย็นและสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ตามความชอบและตามความถนัดของแต่ละคน การดำน้ำที่ในอดีตเป็นการออกไปใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของคนมีฐานะ เดี๋ยวนี้ขยับลงมาที่คนธรรมดา มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆท่านๆก็สามารถที่จะเข้าไปจับต้องกิจกรรมนี้ได้เช่นกัน




        นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เมื่อมาถึงมัลดีฟส์แล้ว แทบจะทุกคนมักคาดหวังว่าจะได้เจอะเจอสัตว์น้ำดาวเด่นแห่งมหาสมุทรอินเดียอย่างที่เคยได้เห็นตามสื่อต่างๆ เช่น  อีเกิล เรย์หรือกระเบนนก (Eagle ray) , กระเบนราหู (Manta ray) เต่าทะเล ,ปลาสิงโต ,ปลาโลมา เป็นต้น  แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า อย่าได้กังวลหรือคาดหวังกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะทุกสิ่งมักขึ้นอยู่กับโอกาส เวลาที่เอื้ออำนวย หรือแล้วแต่ใครจะมีโชคจริงๆถึงจะเห็น    ตัวผู้เขียนเองมีความรู้สึกว่าเพียงแค่ดำผุดดำว่ายอยู่ตามแนวชายฝั่งตอนแสงแดดกำลังสาดส่องลงมาใต้น้ำ แล้วเห็นฝูงปลาสีสดใสสวยงามน้อยใหญ่ก็ดีใจแทบแย่แล้ว




       การดำน้ำตื้นอาจมีเคล็ด(ไม่)ลับอยู่จิ้ดเดียว คือ ต้องคอยรอจังหวะให้ปลาว่ายวนเข้ามาหาเราใกล้ๆเอง อย่าว่ายไล่หา หรือถ้าเจอแล้วก็อย่าว่ายพุ่งเข้าไปหาเขาใกล้ๆ เพราะจะทำให้มันตกใจ  อย่างพวกบรรดาปลาตัวจิ๋วๆที่มีสีสันดใส ถ้าว่ายไปเจอ ควรหยุดมองอยู่ห่างๆก่อน ไม่นานเขาก็จะแห่กันเข้ามาล้อมตัวเราทั้งฝูงเลย หรือเพียงการได้เห็นแนวประการังที่สมบูรณ์และมีสีสันจัดจ้านเป็นพรืดเป็นดง ก็เหมือนได้ดูงานศิลปะใต้ท้องทะเลเลยเช่นกัน  ถือว่านั่นเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดเพราะว่าทุกวันนี้ต่อให้มีเงินถุงเงินถังก็ยังหาประสบการณ์แบบนั้นอีกไม่ได้แล้ว




        ต้องยอมรับว่าการดำน้ำ ทั้งแบบดำน้ำตื้นและแบบดำน้ำลึกเป็นบรรยากาศที่แตกต่างไปจากบนดินโดยสิ้นเชิง บางครั้งย่อมมีอุปสรรคเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ที่เราไม่คุ้นเคย ดังนั้นไม่ว่าจะมีโอกาสไปเที่ยวดำผุดดำว่าย ณ ทะเลแห่งไหนและที่ใดในโลก ก็ต้องมีความตระหนักถึงรื่องความปลอดภัยและก็อย่าได้พกความประมาทไปด้วยอย่างเด็ดขาด




     ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อนทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมัลดีฟส์มีความก้าวหน้าอีกคือ เรื่องบริการ  ดังนั้นผู้คนจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้มาใช้บริการ คำว่า "Hospitality " หรือความมีน้ำจิตน้ำใจของคนมัลดีฟส์นั้น มีอยู่เต็มปรี่ เพียงไม่กี่วันก็สัมผัสได้ถึงไมตรีจิต ได้เห็นถึงมัลดิเวียนเมืองยิ้ม เพราะคนที่นี่ขยันยิ้มและมีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา  คงเพราะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อม อากาศและอาหารที่ดี ความฉุนเฉียวเกรียวกราดจึงมีดีกรีนต่ำมาก งานบริการจึงเป็นหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวของทุกๆประเทศ

  
         ตบท้ายเรื่อง ต้องเป็นเรื่องอาหารการกินเพราะมัลดีฟส์ คือสวรรค์สำหรับนักกิน แทบทุกโรงแรมหรือรีสอร์ท อาหารทุกๆมื้อจะถูกปรนเปรออย่างครบแน่น ทั้งอาหารซีฟู้ดหลากหลายเมนู อาหารฝรั่งแบบฟิวชั่น อาหารอินเดียกลิ่นหอมฟุ้ง หรือแม้กระทั่งในบางโรงแรม(ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ) ก็มีอาหารไทยๆจัดเสิร์ฟไว้เอาใจและให้บริการพี่ไทยแบบเพียบเปล้
         ตัวผู้เขียนเองหลงใหลได้ปลื้มกับอาหารพื้นถิ่นของที่นี่มากๆ เพราะรับประทานแล้วก็รู้สึกสบายท้อง หลากหลายเมนูน่าทานและน่าสนใจ ถ้าใครได้มีโอกาสได้ไปเยือนมัลดิฟสควรต้องลิ้มลองแล้วจะติดใจแน่นอน อาหารของชาวมัลดิเวียนมักมีส่วนประกอบสามรายการหลักๆ คือ มะพร้าว ปลาและแป้ง คนมัลดีฟส์นิยมกินปลา อาทิเช่น ปลาทูน่าเพราะหาง่ายและมีอยู่บานตะไทในทะเลหน้าบ้านพวกเขา ซึ่งจะกินกันทั้งแบบแห้งและแบบสด  เนื้อปลาทูน่านั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งต้ม แกง ทอดหรือยำ   เช่น ถ้านำเนื้อปลาทูน่าไปแกง ก็แกงใส่กะทิสดและใส่เครื่องเทศ อย่าง ขมิ้น  รสชาติอาหารพื้นเมืองของที่นี่นั้น กลิ่นเครื่องเทศจะไม่รุนแรงหรือมีรสจัดจ้านเหมือนอาหารอินเดีย อีกทั้งดีกรีเผ็ดร้อนของเครื่องเทศก็ต่ำกว่าหลายเท่าตัว

      
          มีหลายเมนูที่อร่อยและรู้สึกประทับใจ   เช่น  ยำเนื้อปลาทูน่าใส่มะพร้าวขูดผสมกับผักชีสดสับ(Mas Huni) จานนี้มีรสชาติเบาๆเหมือนยำ รสไม่จัดจ้าน ทานได้เรื่อยๆ (เด็กๆก็ทานได้)  ส่วนแกงเนื้อปลาทูน่าใส่เครื่องเทศชนิดต่างๆตามสูตรต้นตำรับนั้น รสชาติจะเข้มข้นหน่อย แต่ไม่เผ็ดร้อน  เหมาะที่จะรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ หรือกับแป้งอบสไตล์มัลดิเวียน (Madiviean Chapatti ) ช่างเข้ากันและอร่อยสุดๆ   ยังมีซุปใส เช่น ซุปไก่ต้มใส่ผักสมุนไพรและเดาะเครื่องเทศลงไปจางๆ เมนูนี้ซดคล่องคอดีมาก 



        ชอบสุดสุดคือ แกงขลุกขลิกใส่เครื่องเทศ อย่างแกงไก่ เมนูนี้ควรทานคู่กับแป้งทอด( poori) ความอร่อยอยู่ที่แป้งทอด ซึ่งเป็นแป้งสด ปั้นเป็นลูกกลมๆแล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนฉ่า ทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน แล้วนำมารับประทานกับแกงน้ำชลุกขลิก อร่อยเข้ากันเป็นที่สุดเลย


อาหารพื้นเมืองต่างๆนี้ ถ้าจะอร่อยแบบครบรส คนบ้านเขาจะแนะนำให้เราทานแนมกับหอมแดงสดหรือหอมแดงดอง และไม่ควรพลาดเลยก็คือ พริกขี้หนูสด พริกขี้หนูดองหรือพริกทอดด้วย ซึ่งจะได้อรรถรสเพิ่มขึ้นและอร่อยถูกใจพี่ไทยไปเลย




      
        ยังมีขนมพื้นเมืองที่อยากให้ลองชิมดู คือ simolinaToffee เป็นเนื้อมะพร้าวขูดกวนใส่น้ำตาล รสชาติคล้ายๆข้าวตูบ้านเรา แต่ไม่หวานเจื้อยแจ้วเท่า 


      




          ส่วนผลไม้ชนิดต่างๆ ขอแนะนำให้ลองชิม เช่น แตงโมและมะละกอ แม้หน้าตาอาจดูซีดๆ แต่รสที่หวานจางแบบธรรมชาติ ชิมแล้วอาจทำให้หวนคิดถึงตอนสมัยเด็กๆที่เคยได้ทานผลไม้สดแบบนี้ที่ไม่ต้องฉีดสีหรือเร่งสารเลย
       ประชากรมัลดีฟส์เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม  อีกทั้งประกอบอาชีพเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ชาวมัลดีฟส์นั้น นับถือหลักธรรมของศาสนาอย่างเคร่งครัด มีปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่มีคุณธรรมและการให้บริการลูกค้าเป็นสำคัญ  โดยยึกหลักของศาสดามูฮัมหมัดได้เคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าหากใครไม่สามารถยิ้มแย้มแจ่มใส เขาไม่สมควรจะทำมาค้าขาย " และด้วยเหตุนี้ การให้บริการของผู้คนที่นี่จึงออกมาจากหัวจิตหัวใจและเปล่งรัศมีออกมาจากใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มและความเป็นมิตร     
          ภาพความสวยงามของหัวใจของมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้ไม่เคยเป็นรองใครและยังคอยเฝ้ารอโอกาสให้คุณได้รีบไปสัมผัสไวๆ…..สักครั้งในชีวิต
         
        

   (สายการบินบางกอกแอร์เวย์ (Bangkok Airways:Asia Boutique Airline) พาเรามาถึงสนามบินมาเล่ที่อยู่บนเกาะฮูลฮูเลอย่างราบรื่นโดยใช้เวลาบินตรงเพียง  4 ชั่วโมงแค่นั้น )

เรื่องและภาพ  จักรพงษ์ วรรณชนะ 


วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

เนิบช้า ….สำราญอิ่ม @ San Sebasthien



SAN SEBASTHIN …BLOG ,MARCH 2554



“ซาน เซบัสเตียน”(San Sebastian)  หรือโดโนสเตีย(Donostia)ในภาษาบาสก์  อดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่โต รุ่งเรืองและเป็นสถานตากอากาศที่โปรดปรานในช่วงฤดูร้อนของราชวงศ์และเหล่าชนชั้นสูงของสเปน

ซาน เซบาสเตียน อยู่ทางตอนเหนือของประเทศสเปนซึ่งมีชายแดนติดกับตอนใต้ของฝรั่งเศสเป็นเมืองหลักของจังหวัดกีปุชโกอา(Guipuzcoa)ในแคว้นบาสก์ ทริปยาวยืดในเมืองกะทิงดุทริปนี้ รู้สึกตื่นเต้นตื่นตาและได้รับแรงบันดาลใจอย่างล้นเหลือ  

เราอยู่เที่ยวเมืองบิลเบา(Bilbao) มาแล้ว  4 วัน  บิลเบาในอดีตคือเมืองอุตสาหกรรมทำเหมืองแร่เหล็กริมชายฝั่งที่นี่มีสถาปัตยกรรมแห่งศตรวรรษที่ 20 รูปทรงฟรีฟอร์มสุดพิศวงซึ่งควรไปเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งเมื่อมาถึงสเปน  คือ  กุ๊ก เกนไฮม์มิวเซียม(Guggenhiem Museum) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่ๆอยู่บนแผนที่วัฒนธรรมระดับนานาชาติติดอันดับต้นๆของประเทศสเปนทีเดียว

ในวันสุดท้ายที่อยู่เมืองบิลเบานึกครึ้มใจขึ้นมาจึงชักชวนเพื่อนร่วมทริปนั่งรถประจำทางไปเที่ยวเมืองซาน  เซบาสเตียนกันต่อเพราะอยู่ไม่ไกลแค่นั่งรถประจำทางใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็ถึง ตารางเดินรถไปเมืองซาน เซบาสเตียนจะออกทุกๆชั่วโมงและตรงเวลาเป๊ะๆ! 

รถขับมาได้สักพักใหญ่ๆ ยังไม่ทันได้งีบเลย เพราะมัวเแต่่เพลินกับวิวสีเขียวตลอดสองข้างทางรถก็มาจอดที่สถานีรถบัสของเมืองซาน เซบาสเตียนซะแล้ว ที่สำคัญมาถึงก่อนเวลาตั้ง 2 นาที    โอว์! …สุดยอดจริงๆ  


ลงรถบัสแล้วจับแท็กซี่เพื่อมุ่งเข้าเมืองต่อ รถแท็กซี่เลี้ยวไปเลี้ยวมาสองสามโค้งก็เลียบเข้ามาถึงถนนริมหาดเลย วันนั้นท้องฟ้าปลอดโปร่งแดดก็กระจ่างจ้า มองเห็นชายหาดตัดกับสีฟ้าครามของน้ำทะเลดูไฉไล จึงบอกรถให้จอดแล้วลงไปเดินเล่นริมหาดกันบริเวณถนนเลียบหาดยังมีขบวนรถไฟรางคันยาวเฟื้อยจัดไว้บริการนักเที่ยวฟรีๆ เพื่อนั่งชมบรรยากาศของเมืองด้วย

เมืองนี้สงบมากคงเพราะมีรถราวิ่งน้อยมากแถมโชคเข้าข้างเราอีกเพราะอากาศดี  ลมเย็นสบายๆแค่ใส่สเว็ตเตอร์บางๆ ตัวเดียวก็เอาอยู่  ที่นี่เราได้ทำตัวเนิบช้าอย่างเต็มพิกัด! วันทั้งวันมีแต่เดินเล่นกินลมชมวิวและหม่ำ ทำตัวเรื่อยๆเปื่อยๆเมื่อยก็หยุดพัก ได้มีเวลานั่งหย่อนก้นนานๆบนม้านั่ง เพื่อตากแดดอุ่นพร้อมสูดกลิ่นไอเค็มจากทะเลไปด้วย หัวสมองจึงเบาโหวงทีเดียว  


สังเกตได้ว่าเมืองนี้ทุกๆหนึ่งถึงสองร้อยเมตรเขาจะมีเก้าอี้นั่งสบายๆจัดใว้ให้ได้นั่งผ่อนคลายได้ตลอด ยังมีมุมสดชื่นร่มรื่นอีกไม่อั้น อาทิ  สวนหย่อมที่พรรณไม้สีเขียวอื๋อ  ต้นไม้ดอกไม้ก็ยังเปล่งประกายความสดใสดูสดชื่นแถมแปลกตาด้วย 

ช่วงนี้นักท่องเที่ยวดูบางตาคงเพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นตลอดริมชายหาดยังทำทางเดินระดับเดียวกับหาดทรายไว้ด้วย โดยมีเสารับอาร์คโค้งเป็นระยะๆแบบโคโลเนดและรั้วเหล็กหล่อสีขาวก็เด่นด้วยลวดลายแบบโบราณกั้นไว้เป็นแนวยาวไปตลอดความยาวของชายหาดโค้งเป็นกิโลเมตร


ถ้ามองลงไปคือหาด  La  Concha เป็นทรายเป็นสีน้ำตาลทองดูสะอาดสะอ้านมากๆ  แม้หาดจะไม่กว้าง   มองลงไปเห็นแต่ท่าน ส.ว(สูงวัย)จำนวนมาก กำลังจับกลุ่มนั่งเล่นนั่งเม้าท์กันอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบบ้างกำลังนั่งทาซันแทนเพื่อจะอาบแเดด  บ้างหาญกล้าผ่าความเย็นลงไปเล่นน้ำทะเลคงเพราะแสงแดดจัดๆช่างเป็นใจ




อ่านข้อมูลมาก่อนว่า ถ้ามาเยือนในช่วงฤดูร้อนบนหาดแห่งนี้จะถูกจับจองและแน่นไปด้วยเตียงผ้าใบและนักท่องเที่ยวเรือนพัน สังเกตุว่าชาวเมืองนี้่อารมณ์ดีเพราะเดินไปตรงไหนจะมีแต่รอยยิ้มแจกจ่าย การออกมาเดินเล่น วิ่งเล่น ขี่จักรยานหรือไม่ก็พาน้องหมาออกมาเดินเล่นคงเป็นกิจวัตรประจำทุกๆวันของคนเมืองนี้  สังเกตุว่าไม่ว่าจะไปเมืองไหนๆทั่วสเปนก็มักเห็นคนสเปนมีความผูกพันกับสุนัขมาก



เราเดินขึ้นมาถึง Miramar  Palace  ซึ่งเคยเป็นพระราชวังเก่าตั้งอยู่บนเนินเขาสูงปราศจากกำแพง  ณ  จุดนี้ เป็นจุดที่มีชัยภูมิเยี่ยมที่สุดเพราะมองลงไปเห็นเวิ้งอ่าวรูปวงพระจันทร์สวยที่สุด

Miramar  Palace


พระราชวังบนเนินแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนสร้างขึ้นโดยพระราชินีมาเรีย คริสตินา ใช้สำหรับเป็นที่ประทับยามเสด็จมาตากอากาศในช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยภาคฤดูร้อนและเป็นโรงเรียนสอนดนตรีแห่งแคว้นบาสก์  ซึ่งอนุญาติให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปเยี่ยมชมถึงภายในได้




รอบๆบริเวณพระราชวังยังถูกโอบไปด้วยสนามหญ้าสีเขียวฉ่ำและจัดแต่งสวนศรีไว้อย่างงดงามน่าชมชอบบริเวณมุมหนึ่งของสวนมาก เพราะที่มีแปลงดอกไฮเดรนเยียขนาดใหญ่โตกำลังออกดอกบานพรึ๊บ ส่งกลิ่นและสีชมพูหวานยั่วยวนให้รี่กันเข้าไปเก็บภาพ เราอยู่บนนี้นานสองนานจึงค่อยๆ เดินลงเขา


Basilica de Santa Maria, San Sebastian
เดินมาไกลมากจนห็นยอดโบสถ์ Basilica of Santa Maria แล้ว คงเพราะอากาศดีจึงไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเมื่อยเลยลงเนินเมาได้ก็เดินตัดถนนเข้ามาบริเวณริมท่าเรือผ่านลานเล็กๆที่มีเก้าอี้จัดไว้ให้นักท่องเที่ยวมานั่งรับแดดและเห็นมีแต่คนสูงอายุแต่งตัวสวยเช้งกันทั้งนั้น 


 Casa Consistorial, San Sebastien
เราเดินดุ่ยๆเข้ามายังเขตเมืองเก่าผ่านสวนสวย (อีกแล้้ว)ด้านหน้า คือ อาคารสีเหลืองดูโอ่อ่ามาก นั่นคือ กาซา กอนซิสโตเรียลหรือศาลากลางของเมืองซึ่งในอดีตช่วงศตวรรษที่  18  ที่นี่เคยเป็นคาสิโนที่เก๋ไก๋ที่สุด เป็นสถปัตยกรรมสไตล์นีโอ-คลาสิกดูงดงามมาก  


เราเดินอ้อมเข้ามาถึงลานกว้างด้านในของตัวอาคารกาซา กอนซิสโต ซึ่งตรงกลางเป็นจตุรัสขนาดใหญ่  อาคารซีกหนึ่ง ปัจจุบันได้เป็นโรงแรมและที่นี่ยังเป็นสถานที่สำคัญซึ่งไม่ควรพลาดมาชมเพราะเป็นส่วนที่มีชีวิตชีวาที่สุดของเมือง 


ชาวเมืองซาน เซบาสเตียน หรือนักท่องเที่ยวมักจะมานั่งหย่อนอารมณ์  ดื่มกินหรือจิบชา กาแฟกันที่นี่ ส่วนลูกเด็กเล็กแดงจะถือโอกาสวิ่งและเล่นกันสุดกำลังบนลานแห่งนี้

บริเวณนี้นอกจากจะเเป็นจุดพบปะสังสรรค์แล้ว ยังเป็นที่จัดงานเฟสติวัลประจำปีอีกด้วย เราเดินผ่านร้านรวงออกมาสองด้านขนาบไปด้วยร้านรวงในตึกเก่าโบราณทรงสูงแล้วตัดใจผ่านร้านช้อปปิ้งไปก่อน เราเดินตรงไปชมโบสถ์ซานตา มาเรีย ( Basillica of Santa Maria ) โบสถ์ที่สง่างามที่สุดของเมือง


Basilica de Santa Maria, San Sebastian
ความงามภายนอกของซุ้มประตูมุขที่เว้าเข้าไป ซึ่งเป็นรูปสลักนักบุญเจ้าของชื่อเมือง เซนต์ ซาน  เซบาสเตียน สะกดเราให้ตะลึงได้แล้ว ส่วนความงามภายในโบสถ์ทุกๆส่วนช่างวิจิตรและดูงดงามมาก  เมื่อได้เข้ามานั่งนิ่งๆแล้วจิตนิ่งมากๆ วันนั้นภาพที่ประทับใจที่สุดในโบสถ์คือ ภาพลำแสงที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างโค้งลงมากระทบแนวเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่าในโบสถ์เป็นภาพที่สงบงามและมีเสน่ห์จับใจไม่รู้ลืม

เมืองนี้นอกจากเคยเป็นเมืองท่าที่เป็นประตูสู่ยุโรปของเรือสินค้าที่เดินทางมาจากดินแดนตะวันออกแล้ว  อาหารบาส์กนั้นเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเยี่ยมที่สุดในคาบสมุทรแห่งนี้  ที่นี่เป็นเมืองที่เป็นต้นกำเนิดอาหารที่ชื่อว่า “ทาปาซ”   (Tapas)  ทาปาซเป็นอาหารว่างที่มีมากมายหลายชนิดเป็นอาหารมื้อเล็กๆ ที่จะช่วยทำให้ไม่หิวนักก่อนจะถึงอาหารมื้อหลัก(คนสเปนจะเริ่มรับประทานอาหารเย็นกันตั้งแต่ช่วงเวลา 3 ทุ่ม แล้วไปอิ่มพุงกางกันประมาณเที่ยงคืน)


Tapas




ช่วงเวลาบ่ายโมงกว่าๆเป็นช่วงเรียกน้ำย่อยซึ่งตามร้านทาปาซคนขายจะเริ่มทะยอยๆนำทาปาซหน้าต่างๆออกมาวางไว้ให้ลูกค้าเลือกบนบาร์เมื่อถึงเวลา 2 ทุ่ม ก็จะเป็นเวลาทาปาซอีกครั้งโดยวิธีรับประทานเราจะหยิบทาปาซหน้านู้นหน้านี้หม่ำแล้วก็ต้องจิบไวน์หรือเครื่องดื่มต่างๆตามไปด้วย ไวน์ในสเปนมีราคาถูกมาก   อาทิ ไวน์ Shery ไวน์แดง Rioja  เบียร์สดเย็นๆก็น่าดื่ม  และที่ไม่ควรพลาดชิม คือ แซงเกียร์(Sangria) เครื่องดื่มรสเร่าร้อนเนียนอร่อยเพลินที่อาจทำให้หัวทิ่มได้  หม่ำไปก็เม้าท์กันไป บ้างก็เดินกันทักเพื่อนฝูงทั่วบาร์โดยเลือกชิมทาปาซอย่างละนิดละหน่อยรองท้องไว้ก่อนจะทานมื้อค่ำ ร้านอาหารค่ำในสเปน ถ้าไปก่อน 3 ทุ่ม ทางร้านอาหารก็จะไม่เปิดรับออเดอร์ด้วย 


การครัวของที่นี่เคยถูกเรียกว่า “บาสก์” ปัจุบันยังคงอยู่และมีชื่อเสียงทางด้านความอร่อยเพราะรสชาติของอาหารเมืองนี้จะเข้มข้นและกลมกล่อมกว่าอาหารเมืองอื่นๆในยุโรปเพราะเขาจะเน้นใช้เครื่องเทศต่างๆ มาเป็นส่วนผสมเสมอ  อาทิ พริกและมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบเพื่อเชิดชูรสชาติ


ต้นกำเนิดทาปาส คำว่า  Tapas หมายถึง ฝาปิด  ที่มาก็คือ ปกติคนสเปนมักนิยมเอาอาหารชิ้นเล็กๆปิดไว้บนปากเหยือกไวน์หรือไม่ก็หั่นขนมปังฝรั่งเศสดเป็นแว่นๆ แล้ววางบนหน้าขนมปังด้วยแฮม  ปลาทะเลปรุงรสแล้วตัวเล็กๆ  ปลาหมึกดองเค็มหรือไม่ก็ไข่ต้มฝานบางๆ ซึ่งเจ้าแผ่นขนมปัง มันก็ช่างเหมาะพอดีกับเจ้าปากเหยือกไวน์  เจ้าอาหารคำเล็กๆที่ง้ำคำ หรือสองคำหมดนี้จึงถูกเรียกว่า ทาปาซ  หรือ Tapas

ถ้ามีโอกาสมาเยือนถึงที่ก็ไม่ควรพลาดอาหารมื้อทาปาซ  เพราะที่นี่มีร้านขายทาปาซออร่อยๆ อยู่มากมายหลายร้าน ช่วงบ่ายต้นๆเป็นช่วงที่แต่ละร้านจะลำเรียงทาปาซหลากหน้าออกใส่จาน ใส่ถาด โชว์ แล้วจะวางเรียงไว้ยาวอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์แค่เดินผ่านน้ำลายก็ไหลแล้วก่อนบ่ายสองเราจะเห็นคนพื้นถิ่น เริ่่มมทะยอยมายืนออกันอยู่ที่หน้าร้านทาปาซเต็มไปหมด


การจะตัดสินใจเลือกร้านทาปาซว่าร้านไหนเด็ดสุดนั้นได้ทำตามคำแนะนำของปิยมิตรชาวสเปนที่บอกเคล็ด(ไม่)ลับไว้ว่า  ต้องสังเกตคนพื้นถิ่นถ้าเขาไปยืนรอหน้าร้านหรือเกาะกลุ่มออกันแน่นอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์นั่นล่ะคือร้านเป้าหมายหรือลองมองไปยังพื้นในร้าน ถ้ามีเศษกระดาษทิชชู่ กระดาษเช็ดปาก ไม้จิ้มฟันหรือส้อมพลาสติกตกหรือกองกันอยู่เกลื่อนกลาด นั่นแหละ ให้รีบพุ่งตัวเข้าไปเบียดเสียดที่หน้าเคาน์เตอร์ทาปาซบาร์์ได้ทันที



ร้านทาปาซเมืองนี้ ส่วนใหญ่ตกแต่งดูอบอุ่นเป็นกันเองน่านั่งเกือบจะทุกร้านบางร้านแต่งเป็นสไตล์โมเดิร์นให้แสงสีสว่างไสว   บางร้านแต่งแบบพื้นๆ แม้ดุจะทึบทึมและแทบไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้ีให้นั่ง แต่เป็นร้านน่าเข้าไปสัมผัสมากที่สุด   ส่วนร้านที่เราเข้าไปทานมีแค่เคาน์เตอร์ไม้ขนาดจิ๋ว ยาวและแคบมากยื่นออกมาจากผนังให้ยืนหม่ำ คนแน่นขนัดยืนเม้าท์ยืนหม่ำกันอย่างสนุกสนานมาก  


ด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์ทาปาซเกือบทุกร้าน บนผนังจะเต็มและตั้งขวดสุราเมรัยสารพัดยี่ห้อไว้รอบริการ       แม้จะได้หม่ำทาปาซมาหลายมื้อแต่ก็ไม่รู้สึกเบื่อ พอไปเมืองทางภาคใต้ก็ได้ทานทาปาซที่หน้าเน้นพวกพืชผักต่างๆสุดแสนอร่อย โดยเฉพาะพริกทอดเป็นพริกสดสีเขียวอื่อ เป็นพริกสายพันธ์ท้องถิ่น หน้าตาคล้ายพริกหยวกแต่ขนาดจะเล็กและป้อมกว่า เขาจะนำไปทอดในน้ำมันร้อนจัดๆ ลงทอดแล้วตักขึ้นเลย จากนั้นจะโปรยเกลือป่นลงไปจิ้ดนึง ทานเล่นอร่อยมากๆหม่ำเพลินเพราะไม่เผ็ดมีกลิ่นหอมและมีรสชาติเฉพาะตัว ขอบอกว่าเป็นเมนูทาปาซผักที่เด็ดสุด



ถ้าไปทางเมือภาคกลาง ทาปาซจะเน้นพวกไส้กรอกชนิดต่างๆ ส่วนที่นี่ เขาจะยกมาทั้งสารพัดสัตว์ทะเล อาทิ กุ้งหอย ปู ปลา ปลาหมึก ฯลฯ  เหนืออื่นใดคือรสชาติและความสดใหม่  แค่เดินไปยืนเล็งๆ ที่หน้าร้านทาปาซน้ำย่อยก็พุ่งถล่มทะลายแล้ว 


ทาปาซ เป็นอาหารชิ้นๆ หรือใส่มาในจานเล็กๆ ชอบชิ้นไหน จานไหน ก็ให้หยิบไปทั้งจานเล็กๆ  หรือจะหยิบเป็นชิ้นๆไปใส่จาน แล้วเดินไปที่หน้าเค้าเตอร์ให้แคชเชียร์คิดสตางค์ก่อนจะมานั่งหรือ ยืนหม่ำ 

ทาปาซแต่ละหน้าราคาก็จะไม่เท่ากัน  ทาปาสเมืองนี้  80  เปอร์เซนต์เน้นอาหารทะเล  มีทาปาซ  บางชนิดจะรองด้วยผักก่อน จากนั้นก็โปรยด้วยเครื่องเทศรสเผ็ดและหอมฟุ้ง  ไฮไลต์ทาปาซในซีซั่นนี้ เป็นอาหารโปรตีนชั้นเยี่ยมและโอชะที่สุด คือ ทาปาซหน้าลูกปลาไหลซึ่งเป็นลูกปลาไหลตัวจิ๋ว ชนิดยังเป็นเบบี๋อยู่ โดยจะนำไปรมควัน  รสชาติจึงจืดแต่มันและหอมมาก เมื่อเคี้ยวเนื้อปลาจะได้กลิ่นหอมของควันไม้เจืออยู่อร่อยทีเดียว จานนี้เห็นยกออกมาวางเท่าไหร่ ก็หายวั๊บๆ ยังมีมะกอกดอง พริกดองรสเปรี้ยวที่จะคลุกมากับปลาแองโชวี่ดองตัวเหี่ยวๆ  ซึ่งต้องสั่งมาชิมกินแก้เลี่ยนด้วย




ในเขตเมืองเก่า ยังมีร้านขายขนมอีกหลายร้าน อาทิ ร้าน  Argitan  มีแอแคร์ ไส้กาแฟและไส้ชอกโกแลตอร่อยมากๆ  อีกทั้งระแวก Centro  ยังมีตึกงดงามสไตล์นีโอคลาสสิก อาร์ตนูโว และอาร์เดโคยุค แรกๆที่ควรแวะไปชมด้วย




พระอาทิตย์เริ่มโรยแสงแล้ว ถึงเวลาต้องกลับเมืองบิลเบา 





ถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยว ที่นี่  จงปล่อยอารมณ์แล้วดื่มด่ำไปกับธรรมชาติรอบๆตัว  เดินบ้างนั่งบ้าง  หม่าบ้าง   อย่าได้คิดเยอะทำตัวเนิบช้าเข้าไว้  ขอบอกว่า….ช่างมีความสุข แค่คิดก็อยากกลับมาอีกรอบ



เรื่องและภาพ  จักรพงษ์ วรรณชนะ

















นิตยสาร Health&Cuisine    
No.122 March 2011

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม 
Tips
เว็บไซต์ที่น่าสนใจ www.sansebasthiantourismo.com
Where to eat :Akelare (www.akearre .net)  ,Restaurante Bernardo Et-Xea  (www.bernardoetxea.com)
ร้านทาปาซที่อร่อย ชื่อ ร้าน  Taberna Gandarias Jatetkea
ที่พัก Pension La Perla 
Hotel Maria Cristina 1 calle Oquendo