"ทะเลมัลดิฟส์เป็นอีกหนึ่งในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติบนดวงดาวสีฟ้าที่น่าติดตรึง"
มัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงติดลมบนในหมู่คู่รักฮันนีมูน แต่ในมุมมองของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแล้ว มัลดีฟส์ยังถูกครองใจด้วยเช่นกันเพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ประกอบกัน เช่น สถานที่มีความโดดเด่นโดนตา ทรัพยากรทางธรรมชาติยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก การสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น เรื่องการอำนวยความสะดวกสารพัดสารพันและการบริการที่ได้มาตฐานที่ดีที่หนึ่งระดับโลกและอย่างสุดท้าย คือ เรื่องของผู้คนที่มีไมตรีจิตต่อนักท่องเที่ยว
ประเทศมัลดีฟส์มีชื่อทางการว่า "สาธารณรัฐมัลดีฟส์" เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะประการังจำนวนมากในมหาสมุทรอินเดียและตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียและศรีลังกา ประกอบด้วยหมู่เกาะประการังน้อยใหญ่ วางตัวต่อเนื่องกันในแนวเหนือจรดใต้ ก่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศที่มีความสวยงามและเอื้อต่ออุตสากรรมการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเรียกประเทศมัลดีฟส์ แต่ถูกเรียกว่าหมู่เกาะมัลดีฟส์มากกว่า
หมู่เกามัลดิฟส์นั้นเกิดขึ้นจาการทับถมของหินประการังเป็นจำนวนมากในเขตน้ำตื้นกลางทะเล ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก มีลักษณะคล้ายวงแหวนแบบลากูน โดยมีส่วนที่โผล่พ้นจากระดับน้ำทะเล มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 2-3 เมตรด้วยกัน หรือเรียกกันว่า "อะทอลล์" (atoll) มีลักษณะกระจายเป็นกลุ่มเกาะมีมากถึง 26 กลุ่ม รวม1,190 เกาะ แต่ว่ามีเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริงเพียงประมาณ 250 เกาะเท่านั้นและในจำนวนนี้ เป็นเกาะที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นโรงแรมและรีสอร์ทสำหรับนักท่องเที่ยวประมาณ 100 กว่าเกาะด้วยกัน
ด้วยความที่มัลดีฟส์นั้นมีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทัศนียภาพที่มีความสวยงามจนสะกดทุกสายตาของนักท่องเที่ยวได้อย่างอยู่หมัดแล้ว ทรัพยากรใต้ทะเลก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มากเช่นกัน โลกใต้บาดาลชองที่นี่คลาคล่ำไปด้วยประการัง อุดมไปด้วยฝูงปลาใหญ่น้อยและยังมีสัตว์น้ำต่างๆอีกนับพันๆชนิด แสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศน์ทางทะเลของประเทศนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก นอกจากนี้ที่หมู่เกาะมัลดิฟส์ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมดำน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย ซึ่งก็ทำให้ที่นี่มีบริการด้านการอบรมพื้นฐานในการดำน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการดำน้ำที่ได้มาตฐานสูง เรื่องต่างๆเหล่านี้ จึงทำให้หมู่เกาะแห่งนี้ กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักดำน้ำจากทั่วโลก ว่ากันว่า …มัลดีฟส์ คือสวรรค์ของนักดำน้ำเลยทีเดียว
ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเรื่อยไปจนถึงต้นเดือนเมษายน เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการไปท่องเที่ยวมัลดิฟส์เพราะฟ้าปลอดโปร่งและไม่ค่อยมีฝนตกมากนัก ทริปนี้ผู้เขียนมีโอกาสได้พักในรีสอร์ทบนเกาะกลางทะเลถึงสองแห่ง แห่งแรกอยู่ไกลออกไปทางเหนือของเมืองหลวงมาเล ( Male) จุดนี้เรียกว่า นอร์ท อารี อะทอลล์ ( North Ari Atoll) ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่มีธรรมชาติใต้ทะเลงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เราเลือกทางสัญจรไปยังรีสอร์ทโดยเรือบินน้ำเพราะสะดวก รวดเร็วและประหยัดเวลากว่าเดินทางโดยเรือเร็ว
ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินน้ำ ยามมองลงมาจากฟากฟ้าจะต้องรู้สึกประทับใจและตะลึงงันกับภาพเกาะวงกลมวงรีใหญ่น้อยสีเขียวมรกรตที่มีน้ำทะเลสีฟ้าครามและมีสันทรายสีขาวกระจ่างโอบรอบอยู่ ทรายที่นี่ขาวจริงๆ ยิ่งเวลาต้องแสงแดดก็จะยิ่งขาวจั๊ว เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย เครื่องบินน้ำจะค่อยๆลดระดับลง สิ่งที่ควรทำคือให้แนบใบหน้าติดกระจกและมองออกไปนอกหน้าต่างจะเห็นภาพเกาะสีเขียวขจีตัดกับหาดทรายสีขาวกระจ่าง ภาพน้ำทะเลในลากูนที่เป็นสีหยก น้ำจะใสแจ๋ว ถ้าเป็นช่วงเวลาที่น้ำทะเลลดงพอดี ก็จะเห็นสันทรายน้อยใหญ่คดเคี้ยวแล่นลิ่วราวกับจิตกรมาจัดวางเลย
ส่วนน้ำทะเลที่อยู่ในลากูนระหว่างสันทรายจะแบ่งออกเป็นสีฟ้าหลายเฉดสีเพราะความลึกตื้นที่ต่างกันออกไป น้ำทะเลจะมีสีเขียวใสและสีฟ้าอ่อนแก่ไล่กันไปเป็นชั้นๆ ช่างสวยมหัศจรรย์ใจเลยจริงๆ ลานบินคือทะเล เรือบินน้ำจะร่อนลงจอดที่กลางทะเลนั่นล่ะ ปกติแล้วจะจอดไม่ห่างจากเกาะที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรือรีสอร์ทมากนัก จากนั้นจะมีเรือโดยสารแบบพื้นเมืองหรือเรียกว่า"เรือโดนี่" แล่นฉิวมารับขึ้นไปยังเกาะ เรือโดนี่ มีเสน่ห์ชวนมอง ความโดดเด่นอยู่ตรงหัวเรือซึ่งปลาย จะโค้งงอนเหมือนคันธนูดู เรือโดนี่จึงดูเป็นเอกลักษณ์และสวยแปลกตามาก
ปัจจุบันมัลดีฟส์มีโรงแรมและรีสอร์ทที่ให้บริการกว่าร้อยแห่งด้วยกัน ประเทศนี้มีรายได้หลักกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและต้องมีการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่จะต้องมีความพร้อมในด้านการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับปรุงเรือรับส่งนักท่องเที่ยว ระบบไฟฟ้า แหล่งน้ำจืด ร้านอาหาร ระบบอินเตอร์เน็ตไวไฟและยังรวมถึงการจัดการเรื่องห้องพักเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่่องเที่ยว แบบเอาอกเอาใจกันสุดสุดไปเลย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างสูงมากในหมู่เกาะมัลดีฟส์
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับการท่องเที่ยวในหมู่เกาะมัลดีฟส์ คือ แต่ละโรงแรมหรือรีสอร์ท จะมีการบริการเรือเร็วหรือสปีดโบ๊ต มีเรือบินน้ำหรือซีแพลนเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวตั้งแต่สนามบินไปจนถึงที่พักเลย ส่วนใหญ่แล้วหนึ่งเกาะก็คือหนึ่งโรงแรมหรือหนึ่งรีสอร์ทนั่นเอง มีโรงแรมและรีสอร์ทกำลังเกิดขึ้นใหม่ๆ แต่ละแห่งก็พยายามตกแต่งห้องพักและดีไซน์สถานให้ดูโดดเด่นโดนตา แต่ที่สำคัญคือ เน้นให้นักท่องเที่ยวได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติได้มากถึงมากที่สุด
เนื่องจากหมู่เกาะมัลดีฟส์นั้นมีทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นต้นทุนหลัก ประกอบกับโรงแรมที่พักหรือรีสอร์ทของที่นี่นั้นขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบและตกแต่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ดูคล้ายๆกันไปหมด โดยจะเน้นไปที่ความพร้อมในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน การออกแบบเน้นให้มีรายละเอียดในแต่ละจุด ซึ่งส่วนใหญ่ดูเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความหรูหรา ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ล้วนดูสะอาดตา เข้ากับบรรยากาศและทัศนียภาพที่มีความงดงามของท้องทะเลท่ามกลางมหาสมุทรอินเดีย
จุดขายของแต่ละโรงแรม คือห้องพัก โดยเฉพาะที่เป็นลักษณะของวอเตอร์วิลล่า ถูกออกแบบให้ดูราวห้องพักบนสรวงสวรรค์ นักท่องเที่ยวจะมีความเป็นส่วนตัวสูงและที่สำคัญคือได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ โดยเห็นทัศนียภาพที่มีความสวยงามของท้องทะเลได้จากทุกพื้นที่เลย ไม่ว่าจะเป็นจากบริเวณระเบียงห้องส่วนตัวที่ดูกว้างขวาง มีการออกแบบให้มีบันไดสามารถที่จะเดินลงไปหย่อนตัวดำน้ำแบบสนอร์เกิลและสามารถสัมผัสได้กับแนวประการังและฝูงปลาจากด้านหน้าหรือหลังบ้านได้เลยทีเดียว
ถ้าเหนื่อยล้าก็แค่ปีนบันไดขึ้นมาพัก นอนเล่น นอนคร้าน นอนเคล้งหรือนอนอาบแดดที่ระเบียงส่วนตัวได้เลย หรือส่วนของห้องอาบน้ำจืดแทบจะทุกรีสอร์ท จะเน้นให้มีอ่างจากุชชี่ ลูกค้าสามารถนอนแข่น้ำพร้อมพลิดเพลินกับภาพวิวสวยจากท้องทะเลไปด้วย ขอกระซิบดังๆอีกจิ้ดหนึงว่า..ควรนอนแช่น้ำในอ่างจากุชชี่ ตอนช่วงตะวันใกล้จะอัสดง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ท้องทะเลจะสวยที่สุด ยามที่แสงอาทิตย์สีส้มสาดส่องลอดผ่านเมฆก้อนใหญ่ลงมาเป็นลำแสงสู่เกลียวคลื่นระรอกน้อยระรอกใหญ่ที่กระเพื่อมเป็นจังหวะช่างเป็นเป็นภาพที่งดงามตรึงใจและฟินจริงๆ
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ภายในห้องนอนที่มีลักษณะเปิดโล่งเหมือนกับว่ากำลังนอนอยู่ท่ามกลางน้ำทะเลสีคราม สาธารณูปโภคจำเป็นแทบทุกๆอย่างจะถูกตระเตรียมไว้อย่างครบครันและสะดวกสบายจริงๆ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เองจึงไม่แปลกใจเลย ถ้าหากนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการจะประทับใจทุกระดับ ไม่ว่าจะมาแบบคู่รักหรือยกโขยงกันมาแบบแฟมิลี่
อีกสิ่งหนึ่งที่คนรักธรรมชาติจะไม่พูดถึงคงไม่ได้เลย คือ ต้นหมากรากไม้ ถ้าไม่ใช่คอต้นไม้แล้วอาจเห็นแค่ทิวมะพร้าวริมหาด แต่ถ้าคนเลิฟต้นไม้ดอกไม้ มักชอบเดินซอกแซกเดินดูต้นไม้เพราะจะได้เห็นพรรณไม้นานาพันธ์ุที่เหมาะจะปลูกบนเกาะ มีบางชนิด แค่เห็นดอกหรือใบ ตาจะเป็นประกายและอาจอุทานออกมาเสียงหลงเพราะสวยงามแบบเกินหน้าเกินตา แม้บางเกาะจะเดินได้รอบเกาะเพียงใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่เหล่าต้นไม้ดอกไม้ หรือไม่่ก็สัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่ สามารถยื้อยุดฉุดเวลาให้คุณอยากเข้าไปทำตัวนัวเนียหรือเอ้อระเหยอยู่ได้นานทีเดียว รู้สึกแปลกใจมากที่ได้เห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ๆบางชนิด เติบโตคลี่คลุมกิ่งก้านสาขาแผ่กว้างแบบไม่มีลิมิตและมีขนาดมหึมา อาทิเช่น ต้นไทรและต้นโพธื์ คือเห็นแล้วอยากจะร้องกรี้ดให้ลั่นเกาะ แถมต้นไม้บนเกาะดูมีสุขภาพดีทุกต้น สังเกตุได้จากกิ่ง ใบ ก้านและลำต้นมีสีเขียวสดใส ใบเป็นมันปลาบดูสะอาดสะอ้านจนอยากจะเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ คงเพราะระบบนิเวศน์ที่ดี สภาพแวดล้อมที่เอื้อ ความที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำจึงไร้ปัญหาเรื่องฝุ่น แถมประเทศนี้ยังมีฝนตกบ่อยๆ ต้นไม้จึงดูเริงร่าดี๊ด๊าและมีใบสีเขียวชะอุ่มอยู่ตลอดทั้งปี
ผู้เขียนหลงใหลไม้ดอกประดับสวนอยู่หลายชนิด บางชนิดดอกสวยจัดจนได้รับสมญานามว่าเป็นราชนิริมหาด อาทิเช่น " จิกทะเล" ไม้ยืนต้นที่นิยมปลูกเพราะมีฟอร์ม ใบ ดอกและผลสวยงามแปลกตา กลีบดอกจิกทะเลนั้น จะมีสีขาว ส่วนที่เห็นเด่นกว่าคือ เกสร ที่มีสีชมพู พอดอกบานปุ๊บ เกสรจะฟูฟ่องเลย ดอกจิกทะเลจะดูเหมือนดอกชมพู่มะเหมี่ยวแต่ใหญ่กว่า ดอกจะแย้มบานในตอนหัวค่ำ พอตกดึก จะส่งกลิ่นหอมแรงขึ้นเรื่อยๆ ดอกจิกทะเลของที่นี่ ดอกจะโตผิดแผกแตกต่างกับที่เคยเห็นปลูกในบ้านเรา ผู้เขียนลองเก็บดอกที่ร่วงใหม่ๆมาวางไว้บนผ่ามือแล้วถ่ายรูป แค่ดอกเดียวก็ปิดผ่ามือมิดเลย
ยังมีไม้ดอกประดับเกาะ อีกชนิด ที่มากเสน่ห์ไม่แพ้ดอกจิกทะเลและนิยมปลูกแทบทุกเกาะนั่นคือ ""หมันทะเล" ไม้ชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ทนแล้ง ชอบขึ้นบนพื้นที่ที่เป็นหาดทราย เติบโตได้ดีตามบริเวณชายฝั่งทะเลและบนเกาะ หมันทะเลมีฟอร์มลำต้นและใบที่สวยงาม แถมยังออกดอกเก่ง (ออกตลอดปีทั้งชาติ) ดอกออกเป็นช่อ มีกลีบดอกเชื่อมติดกันแล้วบานออกคล้ายแตร ดอกมีสีส้มแจ๋น เวลาดอกโรยจะร่วงพราวอยู่เกลื่อนหาดเลย เป็นดอกไม้ที่สร้างสีสันและเสน่ห์ให้กับทุกเกาะ นี่ยังไม่รวมไม้ใบเขียวสดและไม้ใบด่างอีกมากมาย ซึ่งนิยมปลูกทั้งใบมีสีเขียวล้วนๆและไม้ใบด่าง ไม้ใบสวยที่นิยมปลูกกันเกลื่อน ก็เช่น รักทะเล เล็บครุฑสายพันธ์ต่างๆ เป็นต้น ถ้าเห็นแล้วจะอยากลองหาไปปลูกไว้ให้แน่นทั้งสวนศรีทุกต้นเลย
เสน่ห์อีกอย่างที่สัมผัสได้ด้วยตาคือ เหล่าสัตว์ปีก แปลกใจมากๆว่าทำไมบนเกาะ จึงมีนกนานาชนิดอาศัยอยู่มากมาย ทั้งที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติและถูกเลี้ยงไว้ ส่วนใหญ่แล้วพวกมันก็อยู่ร่วมกันกับมนุษย์ได้อย่างกลมกลืน เชื่อง และไม่ชอบหลบซ่อนตัวลึกลับด้วย เช่น นกกระตั๊ว นกกระสา กา นกกวัก หรือนกแก้ว ฯลฯ มักจะโฮละเลฮู้ฮูบินออกมาอยู่ใกล้ๆกับคน ชอบอวดเนื้ออวดตัวชอบอ้อนขออาหารกิน และยังดูเป็นมิตรมาก ผู้เขียนแกล้งเดินเข้าไปเฉียดหรืออยู่ในระยะประชิด แต่มันก็ไม่หลบ ไม่หนี ไม่กลัว แถมยังจ้องหน้าและสอดส่ายสานตาค้นหา บ้างก้มๆเงยๆทำท่าซุกซนเหมือนเด็ก น่ารักมาก คงเพราะพวกมันไม่เคยโดนทำร้ายและจิตใจของพวกมันไม่ค่อยถูกปนเปื้อนสารพิษนั่นเอง
หนึ่งในรีสอร์ทที่อยู่ทางด้านเหนือ (อารี อะทออล์ ) ซึ่งผู้เขียนไปพักแห่งแรก เป็นแหล่งของนักดำน้ำลึก แม้จะว่าเราจะไม่ใช่เซียนดำน้ำลึก หรือเป็นนักกีฬากล้ามโต การดำน้ำตื้นๆอย่างสนอกเกอริ่งตามแนวชายฝั่งก็แสนตื่นตาตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุดแล้ว อีกทั้งเดี๋ยวนี้ก็มีอุปกรณ์อย่างกล้องดิจิตอลที่ถ่ายใต้น้ำก็ทำให้คนเข้าถึงการถ่ายภาพใต้น้ำได้ง่ายขึ้นด้วย คนชอบถ่ายภาพควรจัดเตรียมอุปกรณ์การถ่ายภาพใต้นำ้ไปด้วย เพราะจะยิ่งสนุกมากขึ้นไปอีก ซึ่งกล้องดังกล่าวหาไม่ได้ยากเย็นและสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ตามความชอบและตามความถนัดของแต่ละคน การดำน้ำที่ในอดีตเป็นการออกไปใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของคนมีฐานะ เดี๋ยวนี้ขยับลงมาที่คนธรรมดา มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆท่านๆก็สามารถที่จะเข้าไปจับต้องกิจกรรมนี้ได้เช่นกัน
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เมื่อมาถึงมัลดีฟส์แล้ว แทบจะทุกคนมักคาดหวังว่าจะได้เจอะเจอสัตว์น้ำดาวเด่นแห่งมหาสมุทรอินเดียอย่างที่เคยได้เห็นตามสื่อต่างๆ เช่น อีเกิล เรย์หรือกระเบนนก (Eagle ray) , กระเบนราหู (Manta ray) เต่าทะเล ,ปลาสิงโต ,ปลาโลมา เป็นต้น แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า อย่าได้กังวลหรือคาดหวังกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะทุกสิ่งมักขึ้นอยู่กับโอกาส เวลาที่เอื้ออำนวย หรือแล้วแต่ใครจะมีโชคจริงๆถึงจะเห็น ตัวผู้เขียนเองมีความรู้สึกว่าเพียงแค่ดำผุดดำว่ายอยู่ตามแนวชายฝั่งตอนแสงแดดกำลังสาดส่องลงมาใต้น้ำ แล้วเห็นฝูงปลาสีสดใสสวยงามน้อยใหญ่ก็ดีใจแทบแย่แล้ว
![]() |
การดำน้ำตื้นอาจมีเคล็ด(ไม่)ลับอยู่จิ้ดเดียว คือ ต้องคอยรอจังหวะให้ปลาว่ายวนเข้ามาหาเราใกล้ๆเอง อย่าว่ายไล่หา หรือถ้าเจอแล้วก็อย่าว่ายพุ่งเข้าไปหาเขาใกล้ๆ เพราะจะทำให้มันตกใจ อย่างพวกบรรดาปลาตัวจิ๋วๆที่มีสีสันดใส ถ้าว่ายไปเจอ ควรหยุดมองอยู่ห่างๆก่อน ไม่นานเขาก็จะแห่กันเข้ามาล้อมตัวเราทั้งฝูงเลย หรือเพียงการได้เห็นแนวประการังที่สมบูรณ์และมีสีสันจัดจ้านเป็นพรืดเป็นดง ก็เหมือนได้ดูงานศิลปะใต้ท้องทะเลเลยเช่นกัน ถือว่านั่นเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดเพราะว่าทุกวันนี้ต่อให้มีเงินถุงเงินถังก็ยังหาประสบการณ์แบบนั้นอีกไม่ได้แล้ว
ต้องยอมรับว่าการดำน้ำ ทั้งแบบดำน้ำตื้นและแบบดำน้ำลึกเป็นบรรยากาศที่แตกต่างไปจากบนดินโดยสิ้นเชิง บางครั้งย่อมมีอุปสรรคเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ที่เราไม่คุ้นเคย ดังนั้นไม่ว่าจะมีโอกาสไปเที่ยวดำผุดดำว่าย ณ ทะเลแห่งไหนและที่ใดในโลก ก็ต้องมีความตระหนักถึงรื่องความปลอดภัยและก็อย่าได้พกความประมาทไปด้วยอย่างเด็ดขาด
ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อนทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมัลดีฟส์มีความก้าวหน้าอีกคือ เรื่องบริการ ดังนั้นผู้คนจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้มาใช้บริการ คำว่า "Hospitality " หรือความมีน้ำจิตน้ำใจของคนมัลดีฟส์นั้น มีอยู่เต็มปรี่ เพียงไม่กี่วันก็สัมผัสได้ถึงไมตรีจิต ได้เห็นถึงมัลดิเวียนเมืองยิ้ม เพราะคนที่นี่ขยันยิ้มและมีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา คงเพราะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อม อากาศและอาหารที่ดี ความฉุนเฉียวเกรียวกราดจึงมีดีกรีนต่ำมาก งานบริการจึงเป็นหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวของทุกๆประเทศ
ตบท้ายเรื่อง ต้องเป็นเรื่องอาหารการกินเพราะมัลดีฟส์ คือสวรรค์สำหรับนักกิน แทบทุกโรงแรมหรือรีสอร์ท อาหารทุกๆมื้อจะถูกปรนเปรออย่างครบแน่น ทั้งอาหารซีฟู้ดหลากหลายเมนู อาหารฝรั่งแบบฟิวชั่น อาหารอินเดียกลิ่นหอมฟุ้ง หรือแม้กระทั่งในบางโรงแรม(ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ) ก็มีอาหารไทยๆจัดเสิร์ฟไว้เอาใจและให้บริการพี่ไทยแบบเพียบเปล้
ตัวผู้เขียนเองหลงใหลได้ปลื้มกับอาหารพื้นถิ่นของที่นี่มากๆ เพราะรับประทานแล้วก็รู้สึกสบายท้อง หลากหลายเมนูน่าทานและน่าสนใจ ถ้าใครได้มีโอกาสได้ไปเยือนมัลดิฟสควรต้องลิ้มลองแล้วจะติดใจแน่นอน อาหารของชาวมัลดิเวียนมักมีส่วนประกอบสามรายการหลักๆ คือ มะพร้าว ปลาและแป้ง คนมัลดีฟส์นิยมกินปลา อาทิเช่น ปลาทูน่าเพราะหาง่ายและมีอยู่บานตะไทในทะเลหน้าบ้านพวกเขา ซึ่งจะกินกันทั้งแบบแห้งและแบบสด เนื้อปลาทูน่านั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งต้ม แกง ทอดหรือยำ เช่น ถ้านำเนื้อปลาทูน่าไปแกง ก็แกงใส่กะทิสดและใส่เครื่องเทศ อย่าง ขมิ้น รสชาติอาหารพื้นเมืองของที่นี่นั้น กลิ่นเครื่องเทศจะไม่รุนแรงหรือมีรสจัดจ้านเหมือนอาหารอินเดีย อีกทั้งดีกรีเผ็ดร้อนของเครื่องเทศก็ต่ำกว่าหลายเท่าตัว
มีหลายเมนูที่อร่อยและรู้สึกประทับใจ เช่น ยำเนื้อปลาทูน่าใส่มะพร้าวขูดผสมกับผักชีสดสับ(Mas Huni) จานนี้มีรสชาติเบาๆเหมือนยำ รสไม่จัดจ้าน ทานได้เรื่อยๆ (เด็กๆก็ทานได้) ส่วนแกงเนื้อปลาทูน่าใส่เครื่องเทศชนิดต่างๆตามสูตรต้นตำรับนั้น รสชาติจะเข้มข้นหน่อย แต่ไม่เผ็ดร้อน เหมาะที่จะรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ หรือกับแป้งอบสไตล์มัลดิเวียน (Madiviean Chapatti ) ช่างเข้ากันและอร่อยสุดๆ ยังมีซุปใส เช่น ซุปไก่ต้มใส่ผักสมุนไพรและเดาะเครื่องเทศลงไปจางๆ เมนูนี้ซดคล่องคอดีมาก
ชอบสุดสุดคือ แกงขลุกขลิกใส่เครื่องเทศ อย่างแกงไก่ เมนูนี้ควรทานคู่กับแป้งทอด( poori) ความอร่อยอยู่ที่แป้งทอด ซึ่งเป็นแป้งสด ปั้นเป็นลูกกลมๆแล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนฉ่า ทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน แล้วนำมารับประทานกับแกงน้ำชลุกขลิก อร่อยเข้ากันเป็นที่สุดเลย
อาหารพื้นเมืองต่างๆนี้ ถ้าจะอร่อยแบบครบรส คนบ้านเขาจะแนะนำให้เราทานแนมกับหอมแดงสดหรือหอมแดงดอง และไม่ควรพลาดเลยก็คือ พริกขี้หนูสด พริกขี้หนูดองหรือพริกทอดด้วย ซึ่งจะได้อรรถรสเพิ่มขึ้นและอร่อยถูกใจพี่ไทยไปเลย
ส่วนผลไม้ชนิดต่างๆ ขอแนะนำให้ลองชิม เช่น แตงโมและมะละกอ แม้หน้าตาอาจดูซีดๆ แต่รสที่หวานจางแบบธรรมชาติ ชิมแล้วอาจทำให้หวนคิดถึงตอนสมัยเด็กๆที่เคยได้ทานผลไม้สดแบบนี้ที่ไม่ต้องฉีดสีหรือเร่งสารเลย
ประชากรมัลดีฟส์เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม อีกทั้งประกอบอาชีพเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ชาวมัลดีฟส์นั้น นับถือหลักธรรมของศาสนาอย่างเคร่งครัด มีปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่มีคุณธรรมและการให้บริการลูกค้าเป็นสำคัญ โดยยึกหลักของศาสดามูฮัมหมัดได้เคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าหากใครไม่สามารถยิ้มแย้มแจ่มใส เขาไม่สมควรจะทำมาค้าขาย " และด้วยเหตุนี้ การให้บริการของผู้คนที่นี่จึงออกมาจากหัวจิตหัวใจและเปล่งรัศมีออกมาจากใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มและความเป็นมิตร
ภาพความสวยงามของหัวใจของมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้ไม่เคยเป็นรองใครและยังคอยเฝ้ารอโอกาสให้คุณได้รีบไปสัมผัสไวๆ…..สักครั้งในชีวิต
(สายการบินบางกอกแอร์เวย์ (Bangkok Airways:Asia Boutique Airline) พาเรามาถึงสนามบินมาเล่ที่อยู่บนเกาะฮูลฮูเลอย่างราบรื่นโดยใช้เวลาบินตรงเพียง 4 ชั่วโมงแค่นั้น )
เรื่องและภาพ จักรพงษ์ วรรณชนะ