วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Miracle of Guggenhiem Museum ,Bilbao




บิลบาว (Bilbao) ในอดีต คือ เมืองอุตสาหกรรมทำเหมืองแร่่เหล็กริมชายฝั่งที่ดูทึบทึมของสเปน หลังจากที่มีสถาปัตยกรรมแห่งศตวรรษที่ 20 รูปทรงฟรีฟอร์มสุดพิศวงอย่างกุกเกนไฮม์มิวเซียม ( Guggenhien Museum ) โผล่ผุดขึ้นกลางใจกลางเมืองแล้ว เมืองนี้ก็ได้ขยับขึ้นมาอยู่บนแผนที่วัฒนธรรมระดับนานาชาติอันดับต้นๆ ในทันที
ในแคว้นบาสก์ (Basque Country) บิวบาว เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอยู่ทางเหนือใกล้ชายแดนฝรั่งเศส เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางฝั่งสมุทรแอตแลนติกในอดีต และค่อนข้างจะเป็นเมืองร่ำรวยเพราะเป็นเมืองอุตสาหกรรม มีทั้งเหมืองแร่ เหล็ก โรงงานผลิตเหล็กกล้า ชุมทางขนส่งทางเรือ อู่ต่อเรือและการธนาคารสำคัญแห่งหนึ่งของโลก แต่ด้วยความที่ไม่มีอะไรแน่นอนบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ เมืองที่เคยรุ่งโรจน์ก็เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้น มีคนว่างงานมากขึ้นแบบทะลุเป้า ยังมีปัญหาการเมืองที่มารุมเขย่าขวัญในเรื่องการก่อการร้ายของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเอตตา หรือกลุ่มแผ่นดินและเสรีภาพชาวบาสก์ที่่ได้ลอบวางระเบิดและลอบสังหารบุคคลสำคัญอยู่อีกเป็นระยะๆ ซ้ำเข้าไปอีก เมืองบิลบาวจึงโหวเฮงตกแล้วดิ่งวูบลงในทันที หลังฝนตกกระหน่ำ ท้องฟ้าก็พลันสว่าง ระบอบประชาธิปไตยได้ถูกกลับมาฝังรากมั่นคง ประชาชนชาวบาส์ก ซึ่งส่วนใหญ่เคยสนับสนุนแนวทางรุนแรงของกลุ่มเอตตาก็เลิกสนับสนุนผู้นำทางการเมืองระดับภูมิภาคประกอบไปด้วยผู้ปกครองเมืองและคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีวิสัยทัศน์ไกลบวกรสนิยมวิไล ก็ต่างร่วมกันระดมสมอง แล้วก็เห็นพ้องตรงกันว่าควรจะต้องย้ายโรงงานที่มีอยู่อย่างอัดเอี้ยดแถบริม แม่น้ำใจกลางเมืองออกไป เพราะล้วนแต่สร้างมลพิษให้กับเมือง แถมเมืองยังถูกปกคลุมไปด้วยอากาศขมุกขมัวและส่งกลิ่นคละคลุ้งอยู่ตลอดเวลา การตัดสินใจอันเสุดเฉียบดังกล่าวได้เนรมิตพื้นที่เดิมใหม่่ เพื่อจะได้้ดึงดูดการให้บริการและบริษัทไฮเทคต่างๆ เข้ามาอยู่แทนที่และพร้อมกับได้ตัดสินใจนำเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาลงทุนทางด้านศิลปวัฒนธรรมและอื่นๆ อาทิ การสร้างศูนย์ประชุมอาคารคอนเสริ์ตฮออล์ สถานีรถไฟ รถไฟใต้ดิน อาคารท่าอากาศยาน สิ่งอำนวยความสบายต่างๆ สำหรับไลฟ์สไตล์คนคนรุ่นใหม่และการสร้างสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์นที่เป็นพิพิธภัณฑ์ระดับโลกอย่างกุกเกนไฮม์มิวเซียม เป็นต้น

พิพิธภัณฑ์สถานกุกเกนไฮม์ เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกระดับ Master Piece ที่ทำให้เมืองบิวบาวได้ฟื้นชีวิต กลับมายืดอกได้มากที่สุด อาคารสุดเฉียบนี้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน ชื่อ แฟรงก์ เกียห์รีย์ ( Fran O. Gehry ) มันได้ถูกสร้างขึ้นแทนที่เตาเผากำมะถันซึ่งเคยตั้งเรียงรายพ่นพิษอยู่ริมแม่น้ำเนร์บิออง ( Nervio’n River) สำเร็จจนได้กฤษเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อปี ค.ศ 1997 พร้อมกับการกระหนำ่พีอาร์ไปทั่วทั้งโลก ผลที่ได้รับกลับมาคือสร้างแรงกระตุ้นให้ชาวบาสก์เพิ่มความสนใจใคร่อยากรู้เรื่องมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของตนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็รู้สึกฮือฮา ตาโต แห่แหนกันมาจ่อคิวเพื่อจะได้มาเข้าเยี่ยมชมตัวสถาปัตยกรรมสุดเจ๋งและชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์กันอย่างล้นหลามแบบไม่ขาดสายมาจวบจนถึงปัจจุบัน ผลที่ได้รับไปเต็มๆ ก็คือ เศรษฐกิจเฟื่องฟูและการเงินก็ฟูฟ่องขึ้นแบบดีวันดีคืน ชาวเมืองบิบาวเองก็รู้สึก็เริงรื่นหน้าชื่นตาบาน พร้อมยื่นยิ้มรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย


ราวต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานับว่าโชคดีมากที่อากาศเป็นใจ คือไม่่หนาวจัดและลมก็ไม่พัดแรงมาก แสงแดดจ้ามีเหลือเฟือให้บริโภคได้ตลอดทั้งวัน ท่านที่เดินทางมาโดยเครื่องบิน ก่อนที่เครื่องจะร่อนลงแตะรันเวย์สู่ท่าอากาศยานบิวบาวให้รีบเบี่ยงตัวชิดหน้าต่างให้มากที่สุด แล้วเหลือบมองลงมายังเบื้องล่างจะได้เห็นเนินเขาเตี้ยๆ ที่รายล้อมอยู่รอบๆเมือง ช่างดูสดชื่นเต็มไปด้วยหญ้าและป่าใบไม้สีเขียวมรกรต บางช่วงจะได้เห็นคนเลี้ยงแกะกับฝูงแกะสีขาวฉ่องขนปุกปยกำลังวิ่งโฮละเล ฮู้ฮู! ยกโขยงกันไปๆมาๆ อาจทำให้ได้อมยิ้มแก้มตุ่ย เมื่อมาถึงแล้วก็อย่าได้ปล่อยเวลาให้หลุดมือไป


ถ้ายังมีแรงออมอยู่เหลือเฟือ ก็ให้เริ่มสตาร์ทกันที่พิพิธภัณฑ์กุ๊กเกนไฮม์กันก่อนเลย แค่เดินมาเห็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกขนาดเบ้อเร่ออันดูแพรวพราวก็ทำให้ใจกระพริบได้แบบถี่ยิบแล้ว ตัวของอาคารพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์เป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากในแวดวงศิลปะระดับโลก ด้วยโครงสร้างที่ทำจากเหล็กผสมผสานกับหินทรายสีอ่อนของบิลบาวเอง แล้วถูกหุ้มด้วยแผ่นโลหะไทเทเนียม แต่ละมุมจะดูแปลกตาทั้งในระนาบนอนและตั้งได้ถูกออกแบบให้เลยเข้าไปสอดรับอยู่ใต้สะพานรถวิ่ง ( Puente de la Salve) ที่เปรียบเป็นเหมือนประตูเมืองอย่างกลมกลืนและดูลงตัวแถมไม่ขัดสายตาอีกด้วย อาคารรูปทรงฟรีฟอร์มที่บิดเข้าและออกนี้ วัสดุหลักๆจะประกอบไปด้วยแผ่นไทเทเนียมและกระจกใสแผ่นหนาในโครงสร้างเหล็กที่ดูซับซ้อน มีจุดเด่นที่สุดก็คือจะค่อยๆสร้างสีสันและเปลี่ยนสีไปตามแสงแห่งวันที่แสงตกกระทบลงบนแผ่นไทเทเนียม ถ้าคุณได้มาชมอาคารในยามอรุณเบิกฟ้าแสงตะวันจะฉาบให้แผ่นไทเเทเนียมเป็นสีชมพูเชมเปญดูนวลตาแล้วจะค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีทองระเรื่อ พอสายหน่อยไล่ไปจนบ่ายคล้อยตัวอาคารจะสะท้อนแสงแดดเป็นสีเงินแวววาว ถ้าเกิดมองมาจากระยะไกลจะดูราวกับปลาประหลาดที่กระโดดขึ้นมานอนแอ้งแม้งอาบแดดริมแม่น้ำแล้วขยับเกล็ดล้อเล่นกับแสงอาทิตย์วิบวับๆ แต่ช่วงที่ไฮไลต์ที่สุด คือช่วงโพล้เพล้ที่แสงตะวันจับขอบฟ้าเป็นสีแดงฉานแสงที่ฉาบลงบนแผ่นไทเทเนียมนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนจากสีทองชมพูมาเป็นสีทองเรืองรอง ขอบอกว่างามจับใจเลยทีเดียว



ที่พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ช่วงเวลานี้ สามารถเหนี่ยวเวลาของท่านให้จมหายอยู่ในนั้นได้เกือบทั้งวันเพราะมีห้องจัดแสดงงานศิลปะมากถึง 19 ห้อง งานศิลปะต่างๆที่นำมาจัดแสดงให้ชมจะถูกวนเวียนไปจัดตามมิวเซียมกุกเก็นไฮม์ต่างๆ ทุกแห่งทั่วโลก แค่เพียงเดินก้าวเข้ามายังโถงหลักของตัวอาคารที่ทำให้ตาโตแล้ว สิ่งที่พึงจะกระทำมากที่สุดคือ แหงนคอตั้งบ่าเพื่อมองขึ้นไปยังเพดานที่มีโครงสร้างเว้าโค้ง แสงสว่างที่ทะลุสาดส่องข้ามากระทบขื่อ คาน เสาและผนังภายใน ช่างให้อารมณ์เหมือนกับได้ชมงานศิลปะถาวรเลยทีเดียว ช่วงเวลานี้ ณ ห้องจัดแสดงบนชั้นสอง (ทั้งฟอร์ ) มีงานนิทรรศการของสถาปนิกชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล อย่าง แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ (Frank Lloyd Wright) สถาปนิกรุ่นคุณทวด ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งเป็นทั้งนักเขียน นักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ และอีกสารพัดนัก… สถาปนิกท่านนี้ ได้รับคำชื่นชมว่าผลงานของเขาเป็นการคิดค้นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่มีแนวคิดการออกแบบบ้านและอาคารให้มีลักษณะประสานสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ซึ่งถือว่าแตกต่างจากรูปแบบ สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่แปลกแยกจากธรรมชาติ และแนวคิดสถาปัตยกรรมของเขาต่อมาได้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “Organic Architecture” ในห้องจัดแสดงมีโปรเจ็กต์การออกแบบที่โด่งดังกว่า 80 โครงการให้ชม แต่ละโครงการจะแตกต่างกันหลากหลายรูปแบบ ที่มีทั้งบ้าน สถานที่ทำงาน โรงแรม สถานที่ราชการต่างๆ รวมทั่งพิพิธภัณฑ์ระดับโลก ฯลฯ รับรองได้เลยว่าคนที่มีอาชีพสถาปนิก เมื่อมาชมจะเหมือนได้โชค 2 ชั้น เพราะจะต้องตาลุกกับผลงานสุดเจ๋ง ซึ่งบางชิ้นอาจจะทำให้ยืนตะลึงตาค้างหรือลงไปดิ้นพลาดๆได้ เพราะทึ่งและอึ้งในความอัจฉริยะของสถาปนิกรุ่นคุณปู่ท่านนี้มาก ยังมีงานศิลปะภาพวาดดังๆที่สุดแสนคลาสสิกให้ได้เลือกเสพอีีกเพียบ ณ ห้อง Classic gallery

ส่วนใครที่ชอบงานประติมากรรมชิ้นเด่นไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่งซึ่งอยู่ใน Art Gellery ห้องจัดแสดงที่ดูโอฬารที่สุดของมิวเซียม เป็นประติมากรรมขนาดมหึมาของศิลปินชาวอเมริกัน ชื่อ “Ricard Serra” ที่มีชื่องานว่า Snake และ The Mater of Time วัสดุสามัญหลักอย่างเหล็กกล้าคอร์เทนสีสนิมถูกนำมาหล่อขึ้นมาเป็นรูปคล้ายงูเลื้อยทอดยาวอยู่กลางห้องและยังมีงานรูปวงกลมซ้อนกันไปมา คาดคะเนด้วยสายตาแล้วคงหนักเป็นตันๆ แม้จะดูดิบๆ แต่ช่างมีพลังอย่างล้นเหลือ ที่สำคัญคนดูสามารถเดินวนและทำตัวนัวเนียได้รอบผลงานมีงานวีดีโออาร์ตสุดจ๊าบ ซึ่งอยู่ในห้องมืดตึ้บหลายห้อง จะเป็นวีดีโองานอาร์ตเก๋าๆ ในคอลเลคชั่นของกุกเกนไฮม์มิวเซียมเอง เมื่อได้ชมบางเรื่องแล้ว อาจทำให้้หัวใจเต้นถี่แรง เพราะเสียงเซอร์ราวด์ที่มีอยู่รอบทิศ บีบกระแทกหัวใจมาก ชิ้นงานศิลปะใช่ว่าจะมีแค่เพียงเฉพาะภายในเท่านั้น ที่ด้านนอกอาคารยังมีงาน installation ที่สร้างชีวิตชีวาและสะดุดตาให้มิวเซียมอีกหลายชิ้น อาทิ งานของ Jeff Koons ชื่อ "Tulips" เป็นดอกทิวลิปเหล็กขนาดใหญ่บึ้มถูกเคลือบด้วยปรอทสีสดสะท้อนแสงแสบตาถูกวางนอนไว้ที่ระเบียงด้านหน้ามิวเซียม


ส่วนอีกหนึ่งผลงานของเขาที่เรามักคุ้นตา ชื่อว่า Puppy หรือน้องหมาขนดอกไม้(สด) ซึ่งตั้งถาวรอยู่ด้านหน้าทางเข้ามิวเซียม แต่ช่วงที่ไป น้องหมากำลังถูกพลัดขนใหม่ โดยกำลังถูกนั่งร้่านเหล็กบังเพื่อเปลี่ยนกระถางดอกไม้ใหม่ จึงดูเละเทะไปหมด แต่ก็ยังมีงานอื่นๆ ที่ช่วยชดเชยกันได้ แต่ต้องรอชมเมื่อดวง อาทิตย์เช็คเอาต์ไปแล้ว เพราะสวยกว่าหลายเท่าทีเดียวคือ งาน Instalation ที่เล่นแสงเล่นเงาและแอบมีเสียงด้วยคือ “Fire Foutain” หรือน้ำพุไฟ เป็นของ Yves Klien ที่ได้่ตอบสนองพื้นที่ด้านหน้าบริเวณสระน้ำของอาคารพิพิธภัณฑ์ให้ดูเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากยิ่งขึ้น ผลงานดังกล่าวถูกติดตั้งไว้เป็นแนวระนาบ โดยเว้นระยะห่างไว้เป็นช่วงๆที่กลางสระน้ำ พอถึงเวลาปั๊บ น้ำพุไฟก็พวยลำแสงสีแดงแจ้ดพุ่งขึ้นไปในอากาศเหมือนสายน้ำพุ เสียงดังฟู่ๆ ที่เด็ดดวงก็คือเงาแสงไฟยังสะท้อนลงบนผิวน้ำ แล้วแสงก็เด้งขึ้นไปสว่างวาบอยู่บนแผ่นไทเทเนียมที่หุ้มอาคารอีก ทำให้ตัวอาคารสว่างงามขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า ขอบอกว่างานนี้สวยจับใจจริงๆ ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะยังมีงานประติมากรรมไซส์มโหฬารอีกหนึ่ง คือ แมงมุมยักษ์ หรือ Maman ของ Louis Burgeois ทำขึ้นจากโลหะบรอนซ์ งานชิ้นนี้ถุกดึงดูดทุกคนให้หยุดกึ้กและถูกถ่ายภาพไว้มากที่สุด จะเห็นกันจะจะมาแต่ไกล เพราะตั้งตระหง่านอยู่บนทางเดินริมแม่น้ำหน้าพิพิธภัณฑ์เลย

ภายใต้พื้นที่สุดเฉียบของมิวเซียมนี้ยังมีอีกส่วนที่ท่านต้องไปสัมผัสให้ได้ คือ ภัตราคารสุดเก๋ เพราะที่นี่มีอาหาร เครื่องดื่ม และของหวานไว้ บริการแบบครบครัน ท่านอาจจะได้พบหรือได้พูดคุยกับเชฟมือขึ้น อย่าง Josean Martinez ตัวเป็นๆ เพราะหนุ่มน้อยขี้อายไฟแรงคนนี้ เป็นผู้กุมบังเหียนพื้นที่ทุกตารางนิ้วในครัวทั้งหมด และเขาจะบรรจงเสกเมนูอาหารให้ท่านได้รับประทานแบบที่ไม่ได้แค่อร่อยเพลินจนกินหยุดเท่านั้นแต่หน้าตาของอาหารแต่ละจานช่างดูอู้ฟู้ บางเมนูงามเลิศดั่งงานศิลปะชิ้นเอกเลยทีเดียว อาจทำให้ไดยินเสียงวี้ดวิ้วจากผู้ร่วมโต๊ะได้ สิ่งที่ต้องทำอย่างสุดท้ายก่อนที่จะถอนตัวออกจากมิวเซียมแห่งนี้ก็คือแวะชอป ที่ชอปขายของที่ระลึก ซึ่งผู้เขียนขอรับประกันพันเปอร์เซ็นต์เลยว่า จะทำใหท่านเดินยิ้มแก้มจนตุ่ยกลับออกมาอย่างกระเป๋าแฟบสุดๆ

บิลบาว ยังมีย่านเมืองเก่าที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและสีสันอีกอื้อ แต่หน้ากระดาษได้หมดลงซะแล้ว เอาไว้ถ้ามีโอกาสคงจะได้นำมาเสนอกันในตอนต่อๆไป ถ้าบิลบาว คือ หนึ่งในเมืองที่มากเสน่ห์ “กุกเกนไฮม์ มิวเซียม” ก็คืออีกหนึ่งในความมหัศจรรย์ราวแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่่ท่านไม่ควรพลาดการไปเยือนสักครั้งจริงๆ


เรื่องและภาพ จักรพงษ์ วรรณชนะ













จาก HELLO, TRAVEL ปีที่ 5 ฉบับที่ 17/2010

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
How to go : www.booking .com/Bilbao-Spain
Getting there : By plane www.aena.es
By train www.renfe.es
Hour of operation :Guggenheim Museum Bilbao , Hours : Tuesday –Sunday 10 am - 8 pm
www.guggenhiem -bilbao.es
Meal at Guggenhiem Museum Restaurant tel :94 423 93 33

1 ความคิดเห็น: